Browsing Month: January 2020

ความท้าทายครั้งใหม่ของซีเนดีน ซีดาน กับภารกิจกอบกู้เรอัล มาดริดอีกครั้ง

หลังจากเอาชนะลิเวอร์พูลในรอบชิงชนะเลิศ และพาเรอัล มาดริดสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกที่สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกได้ 3 สมัยติดต่อกัน “ซีเนดีน ซีดาน” ก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมราชันชุดขาวอย่างสายฟ้าแลบ ในขณะที่บรรยากาศของการเฉลิมฉลองยังไม่ทันจางหายไปเลยด้วยซ้ำ ปิดฉากความสำเร็จตลอดระยะเวลา 2 ครึ่งด้วยแชมป์ 9 รายการ แต่แล้ว 284 วันต่อมา หลังจากยอดทีมประจำเมืองหลวงของสเปนลองผิดลองถูกกับผู้จัดการทีมไปถึง 2 ราย กุนซือชาวฝรั่งเศสก็ถูกดึงตัวกลับรับภารกิจกอบกู้เรอัล มาดริดสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง ซีดาน เคยกอบกู้เรอัล มาดริดสำเร็จมาแล้วในการคุมทีมสมัยแรก ครั้งนั้นทีมราชันชุดขาวตกเป็นเบี้ยล่างให้ทีมคู่ปรับอย่างบาร์เซโลน่ามาหลายฤดูกาล แถมภายใต้การนำของราฟา เบนิเตซ ทีมยังมีสภาพย่ำแย่อย่างมาก โดยแพ้ในศึกเอล กลาสิโก้เละเทะถึง 0-4 จนนำไปสู่การปลดกุนซือชาวสเปนช่วงกลางฤดูกาล แต่เมื่อซีดานก้าวเข้ามากุมบังเหียน เขาสามารถเปลี่ยนทีมเฉาให้กลายเป็นทีมแชมป์ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก ในระยะเวลาเพียง 4 เดือน ก่อนที่ฤดูกาลถัดมาจะพาทีมคว้าแชมป์ลาลีกาได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี หลังจากคุมทีมมา 2 ฤดูกาลครึ่ง ซีดานเลือกจากไปอย่างวีรบุรุษ หลังจากนำเรอัล มาดริดชูถ้วยแชมป์ได้ถึง 9 รายการ จากยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 3 สมัย, […]

ฟิกาโย โทโมรี ปราการหลังดาวโรจน์จากเชลซี

แฟรงค์ แลมพาร์ด ได้ชื่อว่าเป็นกุนซือที่ชอบมอบโอกาสให้นักเตะดาวรุ่งลงสนาม และมักจะมองนักเตะไม่พลาดเสียด้วย เมื่อดาวรุ่งแต่ละคนล้วนตอบแทนความไว้วางใจด้วยผลงานอันยอดเยี่ยม โดยหนึ่งในนั้นคือ “ฟิกาโย โทโมรี” ปราการหลังวัย 21 ปีที่ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมเต็มตัวในฤดูกาลนี้ ฟิกาโย โทโมรี เข้าร่วมทีมอคาเดมี่ของเชลซีในรุ่นอายุต่ำกว่า 8 ปี ก่อนจะเป็นส่วนหนึ่งของทีมเยาวชนเชลซีชุดคว้าแชมป์เอฟเอ ยูธคัพ และยูฟ่า ยูธลีก 2 ฤดูกาลติดเมื่อซีซั่น 2014-15 และ 2015-16 จนกระทั่งก้าวไปเป็นปราการหลังตัวหลักของทีมชาติอังกฤษชุดอายุต่ำกว่า 20 ปี ในศึกฟุตบอลโลกยู-20 ที่เกาหลีใต้ ซึ่งอังกฤษคว้าแชมป์มาครองได้ในที่สุด โทโมรี ถูกส่งประเดิมสนามพรีเมียร์ลีกในนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2015-16 ที่พบกับเลสเตอร์ ซิตี้ โดยถูกเปลี่ยนตัวแทนบรานิสลาฟ อีวาโนวิช ในตำแหน่งแบ็กขวา ก่อนที่ฤดูกาลถัดมาจะถูกยืมตัวไปเล่นให้กับไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน, ฮัลล์ ซิตี้ จนกระทั้งแฟรงค์ แลมพาร์ด ยืมตัวเขาไปเล่นให้ดาร์บี้ เคาน์ตี้ในลีกแชมเปี้ยนชิพทั้งฤดูกาล ในฤดูกาล 2018-19 เซนเตอร์แบ็กวัย 20 ปี กลายเป็นกำลังหลักของทีมแกะเขาเหล็ก […]

เนย์มาร์ นักเตะเจ้าปัญหาผู้โหยหาความสำเร็จ

นิตยสาร ฟร้องซ์ ฟุตบอล เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ ได้ประกาศรายชื่อนักเตะ 30 คนสุดท้ายที่ได้เข้าชิงบัลลงดอร์ 2019 โดยปีนี้ลิเวอร์พูล เจ้าของแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกเป็นทีมที่มีนักเตะถูกเสนอชื่อเข้าชิงมากที่สุดถึง 7 คน แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้น การไม่มีชื่อของ “เนย์มาร์” ซุปเปอร์สตาร์ทีมชาติบราซิลอยู่ในรายชื่อเข้าชิงปีนี้ด้วย ทั้งที่ศูนย์หน้าเลือดแซมบ้าถือเป็นขาประจำสำหรับรางวัลนี้มาตลอดนับตั้งแต่ก้าวมาค้าแข้งที่ยุโรป บัลลงดอร์ ถูกยกให้เป็นเสมือนรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลก การที่นักเตะมากความสามารถอย่างเนย์มาร์ หลุดจากโผเข้าชิงจึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา ทั้งนี้มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอาการบาดเจ็บจนพลาดลงสนามช่วยปารีส แซงต์ แชร์แมงไปหลายนัด แถมยังเจ็บจนไม่มีส่วนร่วมกับทีมชาติบราซิลชุดแชมป์โคปา อเมริกาอีกด้วย รวมไปถึงพฤติกรรมด้านลบทั้งในและนอกสนามของเจ้าตัว ทั้งการทำร้ายร่างกายแฟนบอลแรนส์หลังแพ้ในนัดชิงบอลถ้วย ทั้งโพสต์ข้อความหยาบคายถึงผู้ตัดสินลงอินสตาแกรมส่วนตัวนัดที่พ่ายให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ทั้งข้อกล่าวหาในคดีข่มขืนผู้หญิงที่แม้จะหลุดจากคดีอันเนื่องมาจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ หรือแม้แต่การบีบให้ต้นสังกัดปล่อยตัวเขากลับบาร์เซโลน่า ล้วนแล้วแต่เป็นพฤติกรรมที่ไม่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างทั้งสิ้น ล่าสุด เนย์มาร์เพิ่งเปิดใจยอมรับตามตรงว่าไม่มีความสุขในการรับใช้ปารีส แซงต์ แชร์แมง และต้องการย้ายออกจากทีมในช่วงตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมาจริง แต่เมื่อท้ายที่สุดแล้วเขายังต้องอยู่กับทีมต่อไป ก็พร้อมจะทุ่มเททำหน้าที่ในสนามอย่างดีที่สุด และจะพยายามพาต้นสังกัดคว้าชัยชนะใช้ได้อย่างต่อเนื่อง แม้แต่โธมัส ทูเคิลก็ออกปากรับรองเองว่า ซุปเปอร์สตาร์ชาวบราซิลกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมอย่างสมบูรณ์แล้ว หลังช่วยซัดประตูชัยให้ทีมเอาชนะโอลิมปิก ลียงไปได้ แม้ก่อนหน้าที่เขาจะถูกแฟนบอลปารีสรุมโห่มาก็ตาม การย้ายมาร่วมทีมมหาเศรษฐีฝรั่งเศสด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 222 ล้านยูโร เมื่อ 2 […]

โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ศูนย์หน้า 30 โคตรแจ๋ว

ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด คงเป็นสำนวนที่เข้ากับฟอร์มของโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ช่วงนี้เป็นที่สุด เพราะศูนย์หน้าทีมชาติโปแลนด์ในวัย 31 ปี ยังคงเดินหน้าผลิตสกอร์ให้กับบาเยิร์น มิวนิคเป็นว่าเล่น โดยตลอดทั้ง 13 นัดที่ทีมเสือใต้ลงเล่นทุกรายการในฤดูกาลนี้ เขาสามารถทำประตูได้ครบทุกนัด รวมเป็น 19 ประตู แถมทำแฮตทริกได้ตั้งแต่นัดที่ 2 ของศึกบุนเดสลีกาอีกด้วย นับตั้งแต่ย้ายข้ามฟากหลังจากหมดสัญญากับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เมื่อปี 2014 เลวานดอฟสกี้ก็สถาปนาตัวเองเป็นดาวซัลโวประจำทีมเสือใต้มาตลอดทั้ง 5 ฤดูกาล แถมใน 4 ซีซั่นหลังยังสังหารประตูได้เกิน 40 ประตูต่อฤดูกาลอีกด้วย นับเป็นส่วนสำคัญในการพาบาเยิร์น มิวนิคเป็นแชมป์บุนเดสลีกา 5 สมัยติดต่อกัน และแชมป์บอลถ้วยอีก 5 รายการ แต่ถึงแม้จะทำประตูได้มากเพียงใด ก็ยังมีช่วงเวลาที่ยากลำบากอยู่เช่นกัน ในช่วงเวลาที่ฟอร์มตกไม่สามารถทำประตูในนัดสำคัญหลายนัดติดต่อกัน เลวานดอฟกี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักทั้งจากสื่อและเหล่าแฟนบอลทีมตัวเอง แถมยังไม่ได้รับการปกป้องเท่าที่ควรจากสโมสรอีกด้วย ทำให้กัปตันทีมชาติโปแลนด์ยอมรับว่าเคยคิดจะย้ายออกจากถิ่นอลิอันซ์ อารีน่ามาแล้ว แต่เขาก็สามารถต่อสู้และผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายมาได้จนกลับมาฉายแววเพชฌฆาตได้อีกครั้ง ในปัจจุบันเลวานดอฟสกี้ยิงประตูในบุนเดสลีกาไปแล้ว 9 เกมติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลของบุนเดสลีกา ทำลายสถิติเดิมของปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ที่เคยทำไว้ 8 นัดติดกับดอร์ทมุนด์เมื่อฤดูกาล […]